วัฒนาการของเว็บไซด์
ในยุคแรกๆ ของเว็บไซต์ เราจะสามารถเรียกเว็บไซต์ในยุคนี้ได้ว่า Web 1.0 Static เป็นการเขียนเว็บโดยใช้ภาษา HTML เป็นส่วนใหญ่ ใช้การทำงานโดยกำหนดข้อมูลที่ต้องการนำเสนอบนเว็บไซต์และจัดวางโดยนักออกแบบ อาจจะมีการนำเอา Javascript เข้ามาช่วยในการทำงานของเว็บไซต์บ้าง
Web 1.0 Dynamic ได้รับการพัฒนามาจากเว็บไซต์ Static เพื่อเพิ่มความสามารถของ HTML ในการติดต่อกันระหว่างเซิร์ฟเวอร์กับฐานข้อมูล หรือเพิ่มศักยภาพในการประมวลผล เช่น การ Search การส่ง email การดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล การส่งข้อมูลเก็บเข้าฐานข้อมูล เป็นต้น ในช่วงแรก CGI ภาษาที่ใช้เขียนสคริปต์นี้ เช่น C Perl ต่อมาได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่การทำคล้ายๆ CGI เพื่อทำงานทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ อาทิเช่น ASP PHP JSP เป็นต้น
Web 1.0 Dynamic ได้รับการพัฒนามาจากเว็บไซต์ Static เพื่อเพิ่มความสามารถของ HTML ในการติดต่อกันระหว่างเซิร์ฟเวอร์กับฐานข้อมูล หรือเพิ่มศักยภาพในการประมวลผล เช่น การ Search การส่ง email การดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล การส่งข้อมูลเก็บเข้าฐานข้อมูล เป็นต้น ในช่วงแรก CGI ภาษาที่ใช้เขียนสคริปต์นี้ เช่น C Perl ต่อมาได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่การทำคล้ายๆ CGI เพื่อทำงานทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ อาทิเช่น ASP PHP JSP เป็นต้น
Web 1.0 เป็นการให้ข้อมูลด้านเดียว เว็บ 1 เว็บจะมีผู้ใช้ 1 คนคือ Web Master หรือผู้สร้างเว็บ เป็นผู้ให้ข้อมูล และ ผู้เข้าชมเว็บเป็นผู้รับข้อมูล จะรู้จักแค่การรับ-ส่งอีเมล์ (E-Mail), เข้าแชตรูม (Chat Room), ดาวน์โหลดภาพและเสียง หรือไม่ก็ใช้ Search Engine เพื่อหาข้อมูลหรือรายงาน รวมทั้งการใช้ Web board เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
Web 2.0 ในยุคนี้จะเน้นการให้บริการติดต่อสื่อสารกันระหว่างตัวเว็บไซต์กับผู้ใช้งานมากขึ้น โดยมีการสร้างระบบตัวกลางขึ้นมา ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมในการสร้างข้อมูลต่างๆ มีการใช้เครือข่ายชุมชน สนับสนุนเทคโนโลยี AJAX ยกตัวอย่างเช่น Webboard, Social Network Facebook, Blog เป็นต้น ดังนั้นผู้จัดทำเว็บไซต์ในยุคนี้จะเป็นการสร้างเว็บไซต์เพื่อรองรับข้อมูลที่สามารถแก้ไขได้เองโดยผู้ใช้เว็บไซต์เอง โดยผ่าน Web Application ต่างๆ ที่สร้างขึ้นมา ซึ่งด้วยความหลายหลายทางเทคโนโลยีและความก้าวหน้าของรูปแบบภาษาที่ใช้ ทำให้เว็บไซต์มีการพัฒนาไปอย่างมากในยุคนี้ จนมีการตลาดทางอิเตอร์เน็ตเกิดขึ้นมา
Web 2.0 คือ Social Network ที่เน้นการแบ่งปัน การแชร์กันของสิ่งที่ตัวเองมี โดยเขียนโพสท์ลงบน Blog หรือ Web , Web 2.0 ให้ความสำคัญกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยผู้ที่เข้าไปใช้งานนั้นจะมีส่วนร่วมกับเว็บนั้น ๆ มากขึ้น และไม่ใช่แค่เพียงแวะเข้ามาเยี่ยมชม หรืออ่านอย่างเดียว แต่ยังมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ (Co-Creation) ให้กับเว็บไซต์แห่งนั้นอีกด้วย เช่น Wikipedia ,Online Social Netwoking(HI5,Facebook)
Web 3.0 ถูกคิดขึ้นบนพื้นฐานจากปริมาณของข้อมูลใน Web 2.0 ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว แต่การเพิ่มขึ้นของข้อมูลนั้นมันไม่ได้มีคุณภาพเอาซะเลย และจากเหตุผลนี้ทำให้เว็บต่างๆ ต้องมีระบบบริหารจัดการเว็บให้ดีขึ้น ง่ายขึ้น ด้วยรูปแบบ Metadata ซึ่งก็คือการนำข้อมูลมาบอกรายละเอียดของข้อมูลนั้นๆ นั่นเอง ซึ่งอาจจะเรียกว่า Tag ก็ได้ โดยระบบเว็บจะเป็นผู้จัดการในการค้นหาข้อมูลให้เราเอง จึงสามารถคาดการณ์ถึงข้อมูลได้ว่าจะมีการเชื่อมโยงกันอย่างมีระบบระเบียบมากขึ้น Web 3.0 ดูๆ ไปแล้วก็คงเป็นการพัฒนา แก้ไขปัญหาในระบบเว็บ 2.0 มากกว่าการสร้างบนพื้นฐานความรู้ใหม่ โดยเว็บ 3.0 นี้จะไปเน้นเรื่องการจัดการข้อมูลในเว็บมากขึ้น ดีขึ้น และทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเขัาถึงเนื้องหาของเว็บได้ดีขึ้นนั้นเอง
Web 3.0 มีอะไรบ้าง
1. Artificial Intelligence หรือ AI หลายๆ คนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว มันเป็นระบบสมองกล จะสามารถคาดเดาผู้ใช้งานได้ว่ากำลังค้นหา หรือคิดอะไรอยุ่
2. Semantic Web เป็นระบบที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ พยายามทำให้ภาษาทั้งหลายคุยกันได้เองหรือเข้าใจกันได้ ทั้งที่อยู่ในเว็บของผู้พัฒนาและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งมันจะไม่สรุปให้ว่าข้อมูลไหนดีที่สุด แต่จะเอาสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาเทลงตรงหน้า จะทำให้ระบบฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่มากๆ หรืออาจทำให้เกิดฐานข้อมูลโลก
3. Composite Applications เป็นการผสมผสาน Application หรือโปรแกรม หรือบริการต่างๆ ของเว็บ ที่มาจากแหล่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งานนั้นเอง
4. Semantic Wiki เป็นการอธิบายคำๆ หนึ่ง คล้ายกับดิกชันนารีนั้นเองครับ ดังนั้นถ้า Web 3.0 เป็น Wiki ด้วยแล้วนั้นจะทำให้เราสามารถหา ความหมาย หรือข้อมูลต่างๆได้ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น
5. Ontology Language หรือ OWL เป็นภาษาที่ใช้ในการอธิบายสิ่งต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน โดยดูจากความหมายของสิ่งนั้นๆ ซึ่งก็จะเชื่อมโยงกับระบบ Metadata นั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น